Bangkok Instructor Development

หากการเมาแล้วขับนั้นมีอันตราย การดื่มแอลกอฮอล์แล้วทำการดำน้ำนั้นยิ่งมีอันตรายมากกว่า เพราะไม่ต้องดื่มจนเกิดอาการมึนเมา ก็สร้างหายนะใหญ่หลวงให้แก่นักดำน้ำได้ครับ ผลของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาของนักดำน้ำ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ ความเปลี่ยนแปลงแรกที่สังเกตุได้ชัดคือ ผิวหนังจะร้อน หน้าแดง ตัวแดง หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น เป็นผลมาจาก แอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้หัวใจ บีบตัวเร็วและแรงขึ้น หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังเกิดการขยายตัว มีเลือดถูกสูบฉีดไปที่ผิวหนัง มากขึ้น

" Martini Law " : Each 15 meter ( 50 feet ) depth is equivalent to the intoxication of one Martini ฝรั่งเค้าเทียบเคียงไว้กับเหล้ายี่ห้อ มาตินี่ ครับ ... ถ้าของไทยๆ อาจจะเป็น แม่โขง แสงทิพย์ Law ก็ได้นะครับ ใจความสำคัญก็คือ ภาวะเมาไนโตรเจนจะเริ่มมีอาการให้เห็นได้ ตั้งแต่ที่ 15 เมตร อาการจะเหมือนกับดื่มเหล้า เพียวๆ หนึ่งแก้ว ... และจะเพิ่มอีกหนึ่่งแก้ว ทุกๆความลึกที่เพิ่มขึ้น 15 เมตร แต่ จะมีผลแน่นอนกับนักดำน้ำทุกคนที่ความดันบรรยากาศ 4 ATA หรือ ความดันย่อยของไนโตรเ

ขอเรียกสั้นๆ ว่า DCS ก็แล้วกันนะครับ ... ส่วนคำว่าโรคน้ำหนีบ นั้นเข้าใจว่า จะเป็นคำที่ตั้งกันเองจากพวก ชาวเล หรือชาวบ้านที่มีอาชีพดำน้ำหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ...ส่วนราชบัณฑิต กำหนดคำแล้วรึยัง อันนี้ไม่แน่ใจครับ แต่มีคำที่ใช้เรียก DCS ในกฏกระทรวงแรงงานว่า " โรคเหตุลดความกด " .............. แต่ผมว่า ให้เกียรติเจ้าของภาษาดีกว่าครับ อย่าไปแปลมันเลย DCS ง่ายที่สุดครับ เหตุปัจจัยที่นำไปสู่ DCS มันก็มาจาก ก๊าซที่เป็นส่วนผสมของอากาศที่เราหายใจเข้าไปนี่แหละครับ ...... ที่เป็นส่ว

การคลอดบุตรนั้น ไม่ว่าจะเป็นการคลอดตามธรรมชาติทางช่องคลอด หรือการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ...การคลอดทั้งสองแบบ มีประเด็นที่ต้องพิจรณา สองเรื่องหลักๆก็คือ การหายของบาดแผล และปริมาณเม็ดเลือดแดงภายหลังคลอด ที่เป็นผลมาจากการเสียเลือดขณะคลอด ... ส่วนเรื่องรองลงมาก็อาจจะมีพวก ระดับฮอร์โมนที่ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของตัวคุณแม่เอง การพักผ่อนและสภาพร่างกายหลังคลอดบุตร ...... จริงๆแล้วข้อมูลตามตำราต่างๆ ไม่ได้มีเขียนไว้เป็นเรื่องเป็นราวมากมายครับ ... คำแนะนำนี้ถือว่าเป็นความเห็น

เชื่อว่าอาจเป็นข้อกังวลใจของนักดำน้ำ ทั้งหนุ่มทั้งสาว ที่กำลังสร้างครอบครัวแต่ก็อดใจจะไปดำน้ำไม่ได้ ว่าถ้าตั้งครรภ์แล้วจะสามารถดำน้ำได้อย่างปลอดภัยได้หรือไม่ คงต้องแบ่งตามระยะของการตั้งครรภ์คร่าวๆแบบนี้นะครับ - ช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ (First trimester) ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตัวอ่อนมีการเริ่มสร้างอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงนึงว่า(โดยเฉพาะระบบประสาท ) ตัวอ่อนจะมีการพัฒนาที่ปกติ หรือ ผิดปกติ ในแง่ของการดำน้ำ สิ่งที่กังวลใจคือเรื่องของคว

Cutaneous DCS คือ DCS ที่มีอาการแสดง ทางผิวหนัง เหตุก็มาจาก 3 ประการหลักๆคือ การมีฟองก๊าซไนโตรเจน เกิดขึ้นโดยตรงใต้ชั้นผิวหนัง , มีฟองก๊าซไนโตรเจนหลุดเข้าไปในหลอดเลือดฝอยที่มาเลี้ยงใต้ผิวหนัง (อธิบายตามทฤษฏี แต่ทางความเป็นจริง น่าจะเกิดยาก ) และ การที่ฟองก๊าซไนโตรเจนไปอุดกั้นหรือกดเบียดหลอดน้ำเหลืองที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง สิ่งที่อยากให้นักดำน้ำทุกท่าน ให้ความสนใจคือ เมื่อใดก้ตามที่เกิดอาการ ทางผอวหนังเช่น เป็นผื่นแดง คัน ตามร่างกายหรือผิวหนังหลังการดำน้ำ ก่อนที่จะสรุปว

ภาวะเนื้อเยื่อของปอดฉีกขาดและ ฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดสมอง จากการลดความกดบรรยากาศ ชื่อแบบไม่แปลเป็นไทยของภาวะเนื้อเยื่อของปอดฉีกขาดก็คือ Lung over-inflation syndrome , Pulmonary barotrauma (PBT), Lung Burst ส่วน ฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดสมอง นั้นมาจาก Cerebral Arterial Gas Embolism ( CABG ) ครับ ... ที่ต้องพูดถึงสองเรื่องนี้ด้วยกันเพราะ ... เค้ามักจะมาคู่กันเสมอ ... ถ้ามีอาการผิดปกติที่การหายใจ หายใจลำบาก จุกแน่น เจ็บเวลาหายใจ มีอาการเขียว ขาดอากาศ ต้องไปเช็ค อาการทางสมอง

หากใครเคยมีประสบการณ์ เวียนศีรษะชนิด บ้านหมุน ทรงตัวไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียน มาก่อนจะรู้ว่า อาการนั้นน่ากลัวและทรมานแค่ไหน ...... แล้ว ... หากอาการนั้นเกิดขึ้นในขณะอยู่ใต้น้ำล่ะ ... คงไม่มีใครอยากให้เกิดแน่ เราลองมาดูสาเหตุและวิธีการป้องกันกันนะครับ อาการ Vertigo นั้นมีหลายสาเหตุ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้จะกล่าวถึงในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นระบบประสาทของหูชั้นใน และนำไปสู่สาเหตุของ Vertigo นะครับ ... ซึ่งผมจะขอกว่างถึงแค่ ประเภท ที่พบบ่อยๆก่อนนะครับ Carolic vertigo

ปัญหานี้ ถ้าเกิดขึ้นระหว่างอยู่ใต้น้ำ คงทำให้การดำน้ำไดฟ์นั้น หมดสนุกไปเยอะครับ ..... อาการปวดศีรษะ นั้นเป็นอาการแสดง ที่เป็นปลายเหตุ ... ส่วนต้นเหตุที่นำไปสู่อาการปวดศีรษะระหว่างอยู่ใต้น้ำนั้น มากมายเสียเหลือเกินครับ ผมจะยกตัวอย่างเท่าที่ จะนึกออกและพบบ่อยๆ มาให้ดูกันนะครับ 1 Carbon-dioxide retention พบได้นักนักดำน้ำที่หายใจแบบ Skip breathing ครับ ประเภทใช้อากาศเปลือง กลัวอากาศหมด หรือ เคยอากาศหมดใต้น้ำมาก่อน การหายใจเข้าออกสั้นๆ จะทำให้ คาร์บอนด์ไดออกไซด์ สะสมในร่างกายมา

ปัญหาสำคัญของสาวๆนักดำน้ำทั้งหลาย คือ มีประจำเดือนในช่วงที่ไปดำน้ำพอดี ปัญหาคือ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร และ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง 1) การกินยาฮอร์โมนเลื่อนประจำเดือน สามารถทำได้ แต่ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อได้รับคำแนะนำเรื่องตัวยา และ การทานในระยะเวลาและ ขนาดที่เหมาะสม ... ทั้งนี้ ควรเป็นยาชนิดที่ฮอร์โมนต่ำและมีผลข้างเคียงเช่น อาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ที่น้อยที่สุด เพื่อจะได้ไม่รบกวน การดำน้ำ 2) หากมีประจำเดือนในช่วงที่ไปดำน้ำจริงๆ หากมีอาการ ปวดท้องน้อย ปวดศีรษะ หรือ ปวดหลัง